ประวัติความเป็นมาของอารยธรรมจีน
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอารยธรรมยาวนานที่สุดประเทศหนึ่ง
โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ สามารถค้นคว้าได้บ่งชี้ว่าอารยธรรมจีนมีอายุถึง 5,000 ปี
รากฐานที่สำคัญของอารยธรรมจีนคือ การสร้างระบบภาษาเขียน
และการพัฒนาแนวคิดลัทธิขงจื๊อ เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ 2 ก่อน
ค.ศ. ประวัติศาสตร์จีนมีทั้งช่วงที่เป็นปึกแผ่นและแตกเป็นหลายอาณาจักรสลับกันไป
ในบางครั้งก็ถูกปกครองโดยชนชาติอื่น วัฒนธรรมของจีนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อชาติอื่นๆ
ในทวีปเอเชีย ซึ่งถ่ายทอดไปทั้งการอพยพ การค้า และการยึดครอง
อารยธรรมจีนเกิดขึ้นครั้งแรกที่ลุ่มแม่น้ำฮวงโห
คือที่ราบตอนปลายของแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง
อารยธรรมจีนเจริญโดยได้รับอิทธิพลจากภายนอกน้อยเพราะทิศตะวันออกติดมหาสมุทรแปซิฟิก
ทางตะวันตกและทิศเหนือเป็นทุ่งหญ้า ทะเลทราย และเทือกเขา
จีนถือว่าตนเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นแหล่งกำเนิดความเจริญ แหล่งอารยธรรมยุคหินใหม่
ที่พบมีอายุประมาณ 2,000
ปีก่อนคริสต์กาลที่ตำบล ยางเชา เรียกวัฒนธรรมยางเชา มณฑลเฮอหนาน
และวัฒนธรรมลุงชาน ที่เมือง ลุงชาน มณฑลชานตุง พบ เครื่องมือ เครื่องใช้ทำด้วยหิน
กระดูกสัตว์ เครื่องปั้นดินเผา กระดูกวัว กระดองเต่าเสี่ยงทาย
จีนเป็นชาติที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยโบราณ
มีอารยธรรมเก่าแก่จนได้ชื่อว่าเป็นอู่อารยธรรมของชาติตะวันตก (ชนชาติในทวีปเอเชีย)
อาจแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของจีนได้ ดังนี้
1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์
(1) ยุคหินเก่า จีนเป็นดินแดนที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเชีย
หลักฐานที่พบคือ มนุษย์หยวนโหม่ว (yuanmou man) มีอายุประมาณ
1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว
พบที่มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และพบโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง
(2) ยุคหินกลาง
มีอายุประมาณ 10,000 ปี - 6,000
ปีล่วงมาแล้วใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน ไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีการพบเครื่องถ้วยชาม
หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหาร เครื่องมือหินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คือ หินสับ ขูด
หัวธนู
(3) ยุคหินใหม่
มีอายุประมาณ 6,000 ปี - 4,000
ปีล่วงมาแล้วเริ่มตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชน รู้จักเพาะปลูกข้าวฟ่าง เลี้ยงสัตว์
ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา ในยุคหินใหม่นี้มีมนุษย์ทำเครื่องปั้นดินเผาที่สวยงามมากขึ้น
และเขียนลายสี
(4) ยุคโลหะ
มีอายุประมาณ 4,000
ปีล่วงมาแล้วหลักฐานที่เก่าสุดคือมีดทองแดง แล้วยังพบเครื่องสำริดเก่าที่สุด
ซึ่งนำมาใช้ทำภาชนะต่าง ๆเช่น ที่บรรจุไวน์ กระถาง กระจกเงา มีขนาดใหญ่และสวยงาม
มากโดยเฉพาะสมัยราชวงค์ชาง และ ราชวงค์โจว
2. สมัยประวัติศาสตร์ แหล่งอารยธรรมของจีนถือกำเนิดในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห
ทั้งนี้จีนเข้าสู่ “สมัยประวัติศาสตร์” ในสมัยราชวงค์ชาง (Shang Dynasty) ระหว่าง 1,776-1,112 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เมื่อมีการใช้ตัวหนังสือรูปภาพ
เขียนบนกระดูกสัตว์หรือกระดองเต่า
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของจีน
แบ่งได้เป็น 4 ยุค ดังนี้
(1) ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (หรือสมัยคลาสสิก)
เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงค์ชาง (Shang Dynasty) และสิ้นสุดในสมัยราชวงค์โจว
(Chou Dynasty) ประมาณ 1,776 -221 ปีก่อนคริสต์ศักราช จีนมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านปรัชญา เช่น
ลัทธิขงจื้อ (Confucianism) ลัทธิเต๋า (Taoism)
(2) ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น (Chin
Dynasty) เมื่อประมาณ 221 ก่อนคริสต์ศักราช
จนกระทั่งถึงตอนปลายของสมัยราชวงศ์ชิง หรือเช็ง (Ching Dynasty) ซึ่งเป็นราชวงค์สุดท้ายของจีน ในปี ค.ศ. 1912 เป็นช่วงเวลายาวนานกว่า 2,000 ปี
เป็นยุคที่จีนผนวกดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลให้รวมอยู่ภายใต้จักรวรรดิเดียวกัน
(3) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ตอนปลายสมัยราชวงศ์เช็ง( Ching
Dynasty ) เป็นต้นมาเป็นยุคที่จีนเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก
เกิดการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์เช็ง และสถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐขึ้นแทนที่
เป็นยุคที่จีนตกต่ำบ้านเมืองระส่ำระสายจนเกิดการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมในปี
ค.ศ.1949ในที่สุด
(4) ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์
ในปี ค.ศ.1949 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ
2 แหล่ง คือ
เครื่องปันดินเผาหยางเชา
เครื่องปั้นดินเผาหลงซาน
อักษรจีนจารึกบนกระดองเต่า
จารึกอักษรบนกระดองเต่า
จิ๋นซีฮ่องเต้
กำแพงเมืองจีน
ทหารจีนตุ๊กตาดินเผาภายในสุสานสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้
มณฑลซีอาน
- ลุ่มแม่น้ำฮวงโห พบความเจริญที่เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเชา ( Yang
Shao Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ
เครื่องปั้นดินเผาเป็นลายเขียนสี มักเป็นลายเรขาคณิต พืช นก สัตว์ต่างๆ
และพบใบหน้ามนุษย์ สีที่ใช้เป็นสีดำหรือสีม่วงเข้ม
นอกจากนี้ยังมีการพิมพ์ลายหรือขูดสลักลายเป็นรูปลายจักสาน ลายเชือกทาบ
- ลุ่มน้ำแยงซี ( Yangtze
) บริเวณมณฑลชานตุงพบ วัฒนธรรมหลงซาน (
Lung Shan Culture ) พบหลักฐานที่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะสำคัญคือ
เครื่องปั้นดินเผามีเนื้อละเอียดสีดำขัดมันเงา คุณภาพดีเนื้อบางและแกร่ง
เป็นภาชนะ 3 ขา- -
สมัยประวัติศาสตร์ของจีนแบ่งได้
4
ยุค
- ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง
สิ้นสุดสมัยราชวงศ์โจว
- ประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิ
เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ๋น จนถึงปลายราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
- ประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เริ่มปลายราชวงศ์เช็งจนถึงการปฏิวัติเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
เริ่มตั้งแต่จีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน
อารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์ต่างๆ
มีดังนี้
- ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน
- มีการปกครองแบบนครรัฐ
- มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นครั้งแรก
พบจารึกบนกระดองเต่า และกระดูกวัว เรื่องที่จารึกส่วนใหญ่เป็นการทำนายโชคชะตาจึงเรียกว่า “กระดูกเสี่ยงทาย”
- มีความเชื่อเรื่องการบูชาบรรพบุรุษ
- ราชวงศ์โจว
- แนวความคิดด้านการปกครอง
เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์ สวรรค์มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า “อาณัตแห่งสวรรค์
- เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
- เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง
- เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
- เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม
ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา
เพื่อนกับเพื่อน
- เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส
ให้ความสำคัญกับครอบครัว
- เน้นความสำคัญของการศึกษา
- เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
- เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย
ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
- เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
- ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี
และจิตรกรจีน
- คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
- ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน
- จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจักรวรรดิ
เป็นครั้งแรกคือ พระเจ้าชิวั่งตี่ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้ให้สร้าง กำแพงเมืองจีน
- มีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชั่ง ตวง
วัด
- ราชวงศ์ฮั่น
- เป็นยุคทองด้านการค้าของจีน
มีการค้าขายกับอาณาจักรโรมัน อาหรับ และอินเดีย โดยเส้นทางการค้าที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม( Silk Rood )
- ลัทธิขงจื๊อ คำสอนถูกนำมาใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
- มีการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเรียกว่า จอหงวน
- ราชวงศ์สุย
- เป็นยุคแตกแยกแบ่งเป็นสามก๊ก
- มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซี
เพื่อประโยชน์ในด้านการคมนาคม
- ราชวงศ์ถัง
- ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมจีน
นครฉางอานเป็นศูนย์กลางของซีกโลกตะวันออกในสมัยนั้น
- พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง พระภิกษุ (ถังซำจั๋ง) เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก ในชมพูทวีป
- เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน กวีคนสำคัญ
เช่น หวางเหว่ย หลี่ไป๋ ตู้ฝู้
- ศิลปะแขนงต่างๆมีความรุ่งเรือง
- ราชวงศ์ซ้อง
- มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสำเภา
- รู้จักการใช้เข็มทิศ
- รู้จักการใช้ลูกคิด
- ประดิษฐ์แท่นพิมพ์หนังสือ
- รักษาโรคด้วยการฝังเข็ม
- ราชวงศ์หยวน
- เป็นราชวงศ์ชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน
ฮ่องเต้องค์แรกคือ กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้
- ชาวตะวันตกเข้ามาติดต่อค้าขายมาก เช่น
มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวเมืองเวนีส อิตาลี
- ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง
- วรรณกรรม
นิยมการเขียนนวนิยายที่ใช้ภาษาพูดมากกว่าการใช้ภาษาเขียน มีนวนิยายที่สำคัญ ได้แก่ สามก๊ก
ไซอิ๋ว
- ส่งเสริมการสำรวจเส้นทางเดินเรือทางทะเล
- สร้างพระราชวังหลวงปักกิ่ง
(วังต้องห้าม)
- ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง
- เป็นราชวงศ์เผ่าแมนจู
เป็นยุคที่จีนเสื่อมถอยความเจริญทุกด้าน
- เริ่มถูกรุกรานจากชาติตะวันตก เช่น
สงครามฝิ่น ซึ่งจีนรบแพ้อังกฤษ ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง
- ปลายยุคราชวงศ์ชิง
พระนางซูสีไทเฮาเข้ามามีอิทธิพลในการบริหารประเทศมาก
จีนยุคสาธารณรัฐและยุคคอมมิวนิสต์
- ปลายยุคราชวงศ์ชิง ดร.ซุนยัตเซ็น
จัดตั้งสมาคมสันนิบาต เพื่อล้มล้างราชวงศ์ชิง โดยประกาศ ลัทธิไตรราษฎร์ ประกอบด้วย 1.หลักเอกราช 2.หลักแห่งอำนาจอธิปไตยของประชาชน 3.หลักความยุติธรรมในการครองชีพ ส่วนนโยบายปฏิวัติ คือ
โค่นล้มราชวงศ์แมนจู และจัดตั้งรัฐบาลประชาชน จัดตั้งรัฐบาลตามระบอบสาธารณรัฐ
จัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชน และก่อตั้งพรรคชาตินิยม หรือ พรรคก๊กมินตั๋ง ขึ้นในที่สุด
- ต่อมา ซุนยัตเซ็นได้ร่วมมือกับ ยวน ซีไข
ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จเปลี่ยนการปกครองเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐ
(จักรพรรดิปูยี เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของจีน)
มีการแย่งชิงอำนาจของผู้นำทางทหารเรียกว่า ยุคขุนศึก
- ซุนยัตเซ็นได้เสนอให้ ยวน ซีไข
เป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีน
- ยวน ซีไข
คิดสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและรื้อฟื้นระบบศักดินา
- ดร.ซุนยัตเซ็น ตั้งพรรคก๊กมินตั๋ง
- เมื่อ ยวน ซีไข เสียชีวิตลง ดร.ซุนยัตเซ็นเป็นประธานาธิบดี
แต่เป็นได้ไม่นานก็เสียชีวิต
- หลังจาก ดร. ซุนยัตเซ็น เสียชีวิต เจียงไคเช็ค
ขึ้นเป็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งและผู้นำจีน
- แต่รัฐบาลเจียงไคเช็ค ประสบปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง
กดขี่ราษฎร
- จีนเกิดการปฏิวัติอีกครั้ง โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง รัฐบาลเจียงไคเช็ค
ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แต่แพ้
- เหมา เจ๋อตุง สถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน”
ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีการจัดระเบียบสังคมใหม่ เรียกว่า การปฏิวัติทางวัฒนธรรม เพื่อต่อต้านจารีตศักดินาแบ่งชนชั้น
- หลังจาก เหมา เจ๋อตุง เสียชีวิต เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำจีนแทน
ประกาศพัฒนาประเทศด้วย นโยบายสี่ทันสมัย คือด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การทหาร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โดยอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนภายในประเทศ
รวมทั้งผ่อนปรนวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชนให้คลายความเข้มงวดลง
อนุสาวรีย์วีรชนปฏิวัติของจีนประธาน เหมา เจ๋อตุงศิลปวัฒนธรรมของจีนภาพวาดพระถังซำจั๋งเส้นทางสายไหม
พระราชวังต้องห้ามอุทยานภายในพระราชวังฤดูร้อน- จิตรกรรม
- มีวิวัฒนาการมาจากการเขียนตัวอักษรจีนจารึกบนกระดูกเสี่ยงทายเพราะตัวอักษรจีนมีลักษณะเหมือนรูปภาพ
- งานจิตรกรรมจีนรุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์ฮั่น
มีการเขียนภาพและแกะสลักบนแผ่นหิน ที่นิยมมากคือ การเขียนภาพบนผ้าไหม
ภาพวาดเป็นเรื่องเล่าในตำราขงจื๊อพระพุทธศาสนาและภาพธรรมชาติ
- สมัยราชวงศ์ถัง
มีการพัฒนาการใช้พู่กันสีและกระดาษภาพส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า
- สมัยราชวงศ์ซ้อง จิตรกรรมจัดว่าเด่นมาก
ภาพวาดมักเป็นภาพมนุษย์กับธรรมชาติ ทิวทัศน์ ดอกไม้
- ประติมากรรม
- ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์
ทำจากดินสีแดง มีลวดลาย แดง ดำ และขาวเป็นลวดลายเรขาคณิต
- สมัยราชวงศ์ชาง มีการแกะสลักงาช้าง
หินอ่อน และหยกตามความเชื่อและความนิยมของชาวจีน ที่เชื่อว่า หยก ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล
ความสุขสงบ ความรอบรู้ ความกล้าหาญ ภาชนะสำริดเป็นหม้อสามขา
- สมัยราชวงศ์ถัง
มีการพัฒนาเครื่องเคลือบดินเผาเป็นเคลือบ 3 สีคือ เหลือง
น้ำเงิน เขียว ส่วนสีเขียวไข่กามีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์ซ้อง ส่วนพระพุทธรูปนิยมสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งงานหล่อสำริดและแกะสลักจากหิน ซึ่งมีสัดส่วนงดงาม
เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะอินเดียและจีนที่มีลักษณะเป็นมนุษย์มากกว่าเทพเจ้า
นอกจากนี้มีการปั้นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม
- สมัยราชวงศ์เหม็ง
เครื่องเคลือบได้พัฒนาจนกลายเป็นสินค้าออก คือ เครื่องลายครามและลายสีแดง
ถึงราชวงศ์ชิง เครื่องเคลือบจะนิยมสีสันสดใส เช่น เขียว แดง ชมพู
- สถาปัตยกรรม
- กำแพงเมืองจีน สร้างในสมัยราชวงศ์จิ๋น
เพื่อป้องกันการรุกรานของมองโกล
- เมืองปักกิ่ง สร้างในสมัยราชวงศ์หงวน
โดยกุบไลข่าน ซึ่งได้รับการยกย่องทางด้านการวางผังเมือง
ส่วนพระราชวังปักกิ่งสร้างในสมัยราชวงศ์เหม็ง
- พระราชวังฤดูร้อน
สร้างในสมัยราชวงศ์เช็ง โดยพระนางซูสีไทเฮา
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างยุโรปและจีนโบราณ
- วรรณกรรม
- สามก๊ก สันนิษฐานว่าเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องราวของความแตกแยกในจีนตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศจิ๋นจนถึงราชวงศ์ฮั่น
- ซ้องกั๋ง เป็นเรื่องประท้วงสังคม
เรื่องราวความทุกข์ของผู้คนในมือชนชั้นผู้ปกครอง สะท้อนความทุกข์ของชาวจีนภายใต้การปกครองของพวกมองโกล
- ไซอิ๋ว เป็นเรื่องราวการเดินทางไปนำพระสูตรจากสวรรค์ทางตะวันตกมายังประเทศจีน
- จินผิงเหมย หรือดอกบัวทอง แต่งขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นนิยายเกี่ยวกับสังคมและชีวิตครอบครัว
เป็นเรื่องของชีวิตที่ร่ำรวย มีอำนาจขึ้นมาด้วยเล่ห์เหลี่ยม
แต่ด้วยการทำชั่วและผิดศีลธรรมในที่สุดต้องด้รับกรรม
หงโหลวเมิ่ง หรือ ความฝันในหอแดง เด่นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เรื่องราวเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยากัน ผู้อ่านจะรู้สึกเศร้าสลดต่อชะตาชีวิตของพระเอกนางเอกเนื้อเรื่องสะท้อนให้เห็นสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมโทรมก่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมเข้าสู่ยุคใหม่ บันทึกประวัติศาสตร์ ของ สื่อหม่าเฉียนการถ่ายทอดอารยธรรมจีนสู่ดินแดนต่างๆอารยธรรมจีนแผ่ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเอเชียและยุโรป อันเป็นผลมาจากการติดต่อทางการทูต การค้า การศึกษา ตลอดจนการเผยแผ่ศาสนา อย่างไรก็ตามลักษณะการถ่ายทอดแตกต่างกันออกไป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลานาน เช่น เกาหลี และเวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี การสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางศิลปะ ทั้งนี้เพราะราชสำนักจีนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและบังคับให้ประเทศทั้งสองรับวัฒนธรรมจีนโดยตรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมจีนได้รับการยอมรับในขอบเขตจำกัดมาก ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การยอมรับระบบบรรณาการของจีนในเอเชียใต้ ประเทศที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนอย่างใกล้ชิด คือ อินเดีย พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียแพร่หลายเข้ามาในจีนจนกระทั่งเป็นศาสนาสำคัญที่ชาวจีนนับถือ นอกจากนี้ศิลปะอินเดียยังมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะบางอย่างของจีน เช่น ประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูปส่วนภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางนั้น เนื่องจากบริเวณที่เส้นทางการค้าสานแพรไหมผ่านจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำอารยธรรมตะวันตกและจีนมาพบกัน อารยธรรมจีนที่เผยแพร่ไป เช่น การแพทย์ การเลี้ยงไหม กระดาษ การพิมพ์ และดินปืน เป็นต้น ซึ่งชาวอาหรับจะนำไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรปอีกต่อหนึ่งอารยธรรมจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “อินโดจีน” หมายถึงภูมิประเทศที่ได้รับอารยธรรมอินเดียและอารยธรรมจีน อันเนื่องมาจากที่ตั้งอยู่ตรงการระหว่างสองประเทศนั่นเอง และจากประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ทั้งประเทศอินเดียและประเทศจีนก็มีการติดต่อค้าขายมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางเรือ ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงกลายเป็นทางผ่านที่สำคัญ เป็นที่พักสินค้า เติมน้ำจืด และที่หลบลมมรสุม การค้าขายนี่เองทำให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมทั้งจีนและอินเดียในภูมิภาคนี้ แต่เพราะเหตุใดเราจึงมองเห็นว่าอารยธรรมจีนจึงเข้มข้นน้อยกว่าอารยธรรมอินเดีย วันนี้ผู้เขียนขออธิบายอารยธรรมจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อิทธิพลทางด้านการเมือง โบราณนานมากแล้วกษัตริย์จีนทุกพระองค์ถือว่าทรงเป็นสมมุติเทพมีฐานะเหนือผู้ปกครองของประเทศต่าง ๆ ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปกครองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องส่งเครื่องบรรณาการไปให้กับกษัตริย์จีนอย่างน้อยปีละ ๓ ครั้ง เพื่อประโยชน์ทางการค้า เรียกว่า “จิ้มก้อง” หากมีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ จะต้องมีการแจ้งเรื่องให้กับกษัตริย์จีนทรงทราบ เพื่อให้จีนรับรอง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเสถียรภาพในการปกครองของผู้นำรัฐต่าง ๆ การจิ้มก้องนี้เป็นคุณประโยชน์กับประเทศต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เพราะการได้สิทธิค้าขายกับจีนนั้นถือว่าเป็นความมั่นคงของรัฐต่าง ๆ อย่างแท้จริง และรัฐต่าง ๆ จะไม่ต้องถูกจีนโจมตี ยกตัวอย่างเช่นพม่า ช่วงพระเจ้ามังระที่ขณะนั้นตีกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒ พม่าไม่ได้ส่งบรรณาการให้กับจีนหลายงวด จีนทวงถามหลายครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบ จีนจึงยกกำลังมาตีพม่า พม่ายกกำลังทหารส่วนใหญ่ไปรับศึกจีน เหลือกำลังน้อยนิดไว้ในไทย นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พม่าไม่สามารถปกครองไทยได้นาน และพระเจ้าตากสินจึงกู้เอกราชได้อย่างรวดเร็วเพียงหกเดือนเศษ สำหรับประวัติศาสตร์ไทยมีหลักฐานการส่งบรรณการกับจีนมานานแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ไทยหยุดส่งเครื่องบรรณาการให้จีนสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง ส่วนในระดับภูมิภาคมีหลักฐานจากเอกสารจีนว่า รัฐฟูนัน (พศว. ๘ – ๑๒) มีการส่งเครื่องบรรณาการให้จีนแล้วประเทศเวียดนามนับว่าได้รับอารยธรรมจีนมากที่สุด เพราะมีความใกล้ชิดกับจีน เมื่อจีนเข้าปกครองเวียดนามก็ใช้วิธีการปกครองแบบกลืนชาติ เวียดนามจึงมีระเบียบการปกครองแบบจีน มีการสอบเข้ารับราชการแบบจีนโดยใช้ตำราของขงจื้อ เรียกว่าสอบจองหงวน มีการใช้อักษรจีน นับถือเทพเจ้าแบบจีน นับถือขงจื้อ งานศิลปกรรม สถาปัตยกรรม แม้แต่เครื่องแต่งกาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ พระราชวังหลวงเว้ ที่มีความเป็นจีนสูงมาก จนเมื่อฝรั่งเศสเข้าปกครองจีน ความรู้และอารยธรรมแบบตะวันตกจึงค่อย ๆ เข้ามาในประเทศเวียดนามอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ ในฐานะที่จีนเป็นตลาดการค้าใหญ่ มีสินค้าต่าง ๆ ที่รัฐต่าง ๆ ในเอชัยตะวันออกเฉียงใต้ต้องการ เช่นเครื่องปั้นดินเผา ผ้าไหม จีนจึงบังคับให้รัฐต่าง ๆ ส่งเครื่องบรรณาการให้กับจีนก่อน แล้วจีนจึงค้าขายด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยน อาจารย์ผู้สอนประวัติศาสตร์จีนให้สอนผู้เขียนว่า จีนถือตนว่าเป็นผู้ใหญ่ เมื่อผู้น้อยเอาของมาให้ ผู้ใหญ่ต้องมีของแลกเป็นการตอบแทน แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องให้มากกว่าผู้น้อย ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบแก่รัฐต่าง ๆ เป็นอันมาก อาณาจักรที่รุ่งเรืองกับการค้าขายกับจีน เช่น อาณาจักรฟูนัน ศรีวิชัย อันนัม สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ ฯลฯสาเหตุที่จีนมีอิทธิพลกับทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น้อยเพราะจีนไม่ค่อยออกจากประเทศทำการค้าขายมากนักเนื่องจากความเชื่อเรื่องชาติพรรณ และเชื่อว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ประเทศต่าง ๆ ต้องเข้าไปหาจีนเอง ยกเว้นช่วงราชวงศ์หมิงเท่านั้นที่การค้าทางทะเลของจีนรุ่งเรื่อง ดังนั้นการแพร่ออกของวัฒนธรรมจีนจึงมีนอ้อยกว่าอารยธรรมอินเดีย ซึ่งอินเดียเป็นเจ้าแห่งการเดินเรือค้าขายจีนไม่สนใจขายอิทธิพลทางทะเล หรือขยายดินแดน ยกเว้นช่วงราชวงศ์หยวน เพราะศึกล้อมรอบประเทศจากกลุ่มชนต่าง ๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือก็ทำให้จีนต้องพะวงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งจีนเชื่อประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเพราะป้องกันให้กับจีนดีพออยู่แล้ว อิทธิพลจีนจึงแพร่ไปสู้ประเทศในภูมิภาคเอเชียน้อยลัทธิความเชื่อของชาวจีน เช่นลัทธิขงจื้อ ไม่สนับสนุนให้ชาวจีนไม่ส่งเสริมให้จีนออกนอกประเทศแต่ปัจจุบัน ชาวจีนได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลก แทบจะทุกประเทศก็มีชุมชนจีน วัฒนธรรมจีนจึงติดตัวไปกับชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานต่าง ๆ ไปสู่ประเทศเหล่านั้น จากชมกลุ่มน้อยก็แทบจะกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ เช่นในประเทศไทย สิงค์โปร และด้วยความที่มีประชากรเยอะที่สุดในโลก ราว ๑,๓๐๐ ล้านคน การค้าของจีนทั้งซื้อและขายทั่วโลกจึงให้ความสนใจ ผู้คนต่างเริ่มศึกษาวัฒนธรรมจีนและเลือกรับวัฒนธรรมจีนไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆสังคมและวัฒนธรรมจีน· ลัทธิขงจื้อลัทธิขงจื๊อ (551 - 479 ปีก่อน ค.ศ.)เป็นผู้วางรากฐานในกับลัทธิขงจื๊อที่มุ่งแก้ไขปัญหาการเมืองและสังคมของจีน ในสมัยจลาจล โดยเน้นให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบสุขเรียบร้อย ทั้งนี้จะถือหลักการเรื่องมนุษยธรรมและจารีตประเพณี ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักแห่งสัมพันธภาพ 5 ประการ ขงจื๊อสั่งสอนลูกศิษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ลูกศิษย์ของขงจื๊อจึงมีตั้งแต่เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ พ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ทำให้เกิดชนชั้นปัญญาชนขึ้นในสังคมชีน ปัญญาชนเหล่านี้มีเป้าหมายอยู่ที่การเข้ารับราชการ โดยหวังว่าปัญญาความรู้ความสามารถที่ได้รับการอบรมมาจะเป็นประโยชน์ต่อการ ปกครองบ้านเมือง และยังเป็นการสร้างชื่อเสียงและฐานะให้กับตนเอง ครอบครัว วงศ์ตระกูลอีกด้วย ปัจจุบันลัทธิขงจื๊อแม้จะหมดบทบาทในด้านการเมือง แต่ในด้านวัฒนธรรม ลัทธิขงจื๊อยังฝังลึกอยู่ในสังคมจีนนานนับเป็นศตวรรษจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ วิถีชีวิตในสังคมจีน
ขงจื๊อสั่งสอนลูกศิษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ลูกศิษย์ของขงจื๊อจึงมีทุกชนชั้น ทำให้เกิดชนชั้นปัญญาชนขึ้นในสังคมจีน ปัญญาชนเหล่านี้มีเป้าหมายอยู่ที่การเข้ารับราชการ โดยหวังว่าปัญญาความรู้ความสามารถที่ได้รับการอบรมมาจะเป็นประโยชน์ต่อการ ปกครองบ้านเมือง และยังเป็นการสร้างชื่อเสียงและฐานะให้กับตนเอง ครอบครัว วงศ์ตระกูลอีกด้วย ลัทธิขงจื๊อ เรียกกันในอีกชื่อหนึ่งว่า แนวคิดหยู ซึ่งหมายถึงแนวคิดของปัญญาชน ผู้ที่ศึกษาแนวคิดของขงจื๊อและนักคิดคนอื่นๆ ในกลุ่มนี้เรียกกันในสมัยโบราณว่า ปัญญาชนหยู หรือชาวหยู ปัจจุบันลัทธิขงจื๊อแม้จะหมดบทบาทในด้านการเมือง แต่ในด้านวัฒนธรรม ลัทธิขงจื๊อยังฝังลึกอยู่ในสังคมจีนนานนับเป็นศตวรรษจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีน· ลัทธิเต๋าลัทธิเต๋า(ประมาณ 571 - 484 ปีก่อน ค.ศ.) นักปราชญ์คนสำคัญของลัทธิเต๋ามีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกับขงจื๊อลัทธิเต๋ามีกำเนิดในประเทศจีน ต้นกำเนิดเดิมของลัทธิเต๋าไม่ใช่ลัทธิหรือศาสนา แต่เป็นปรัชญาธรรม เพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า โดยอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ตัดสิ่งที่เกิน ความจำเป็นของชีวิต รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ฟุ่มเฟือยและฝืนกับธรรมชาติ โดยกลับไป มีชีวิตแบบง่าย ๆ ท่ามกลางความสงบของป่าเขาลำเนาไพร แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปปรัชญาเต๋าได้ถูก ดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเชื่อดั้งเดิมของจีนซึ่งบูชาพระเจ้าประจำธรรมชาติ ผสมกับความเชื่อ ในทางไสยศาสตร์อื่น ๆ จึงเกิดเป็นลัทธิเต๋า ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดในตอนต่อไปปรัชญาเต๋าเป็นระบบความคิดที่โดดเด่นต่างจากปรัชญาอื่น ๆ ของจีน กล่าวคือ มีแนวคิดที่นอกจากจะเน้นหนักในทางจริยศาสตร์แล้ว ยังมีแนวคิดทางด้านปรัชญาการเมืองและทัศนะในทางอภิปรัชญาค้นหาอันติมสัจจ์ที่เป็นรากฐานแห่งสรรพสิ่ง ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ปรัชญาเต๋ายังคงยืนหยัดท่ามกลางกระแสปรัชญาอื่น ๆ ของโลกในปัจจุบันแม้นวันเวลาจะผ่านพ้นไปนานก็ตาม ปรัชญาเต๋า ยังคงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้รักการแสวงหาความจริง
ล่าจื้อ ไม่ชอบชีวิตหรูหรา แต่ทุกคนดูเหมือนจะมุ่งมั่นเพื่อเงินชื่อเสียงและอำนาจ ในขณะเดียวกันทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยการโกงกินกันอย่างมโหฬาร ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งท่านจึงขับเกวียนเทียมวัวดำสองตัวมุ่งไปยังภูเขาด้านทิศตะวันตก (ทิเบต?) พอถึงประตูเมืองนายประตูจำได้ จึงขอร้องให้ท่านหยุดพักเพื่อเขียนปรัชญาแห่งชีวิต ท่านจึงได้เขียนตำราที่โด่งดังของท่านเป็นอักษรจีน 5,500 ตัว จากนั้นก็ได้เดินทางต่อไป ปรากฏว่าพอถึงช่องแดนระหว่างภูเขา ท่านก็หายเข้าไปในก้อนเมฆ อะไรได้เกิดขึ้นก็ตามทีเถิด ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครเห็นท่านอีกเลย· พระพุทธศาสนาในจีนประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีน บันทึกการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนจีนว่า เริ่มขึ้นในสมัยกษัตริย์เม่งตี่แห่งราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นเวลาที่จีนแผ่อำนาจไปทางตะวันตกและพระพุทธศาสนาแพร่ขึ้นมาทางเหนือ ของชมพูทวีป พระจักรพรรดิจีนรับสั่งให้นิมนต์พระภิกษุจากแคว้นกุสัน พร้อมด้วยพระสูตรมายังประเทศจีน และโปรดให้สร้างวัดม้าขาว เป็นวัดพุทธแห่งแรก ในพุทธศักราช 610
ต่อมาได้มีพระภิกษุ พระเถระเดินทางมาจากอินเดียกลาง เป็นจำนวนมาก พระเถระเหล่านั้น ได้แปลพระสูตรเป็นภาษาจีน และชาวจีนได้รับอนุญาตให้อุปสมบทได้ ในพุทธศักราช 800 เป็นครั้งแรกหลังจากนั้นพระภิกษุจีน ที่มีความศรัทธาพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ออกเดินทางไปศึกษาพระธรรมที่อินเดีย ที่ได้รับยกย่องในความเพียร ที่รู้จักกันดี ได้แก่หลวงจีนฟาเหียน เดินทางไปทางบกกลับทางเรือ พระภิกษุเฮียนจัง ที่รู้จักกันในนามพระถังซัมจั๋ง เดินทางไปกลับทางบก และ
พระงี่เจ๋งเดินทางไปทางเรือกลับทางเรือ ทั้งสามท่านได้บันทึกการเดินทางไว้น่าสนใจมาก - จิตรกรรม
ยาวจัง
ตอบลบยาวจัง
ตอบลบยาวววววววววจังงงงงงง
ตอบลบยาวววววววว แต่ข้อมูลเยอะดีมวกกกๆ
ตอบลบBest casinos in the world to play blackjack, slots and video
ตอบลบhari-hari-hari-hotel-casino-online-casinos-in-us 바카라 사이트 · blackjack (blackjack) casinosites.one · roulette (no Blackjack Video Poker · Video Poker · poormansguidetocasinogambling.com Video herzamanindir.com/ Poker · Video poker 바카라사이트